กำเนิดชุมชนโปรตุเกสและวิถีชีวิตท่ามกลางชุมชนนานาชาติ

กำเนิดชุมชนโปรตุเกสและวิถีชีวิตท่ามกลางชุมชนนานาชาติ
ชุมชนโปรตุเกสก่อตัวขึ้นในปีพ.ศ.2083(ค.ศ.1540) กล่าวคือ
“ในแผ่นดินสมเด็จพระไชยราชาธิราช มีฝรั่งโปรตุเกสเข้ามาหากินที่กรุงศรีอยุธยาประมาณ 130 คน เมื่อสมเด็จพระไชยราชาธิราชจะเสด็จยกกองทัพหลวงไปปรบพม่าที่เมืองเชียงกราน ทรงเกณฑ์ชาวโปรตุเกสเป็นทหารรักษาพระองค์ 120 คน พวกโปรตุเกสได้รบพุ่งพวกข้าศึกแข็งแรง ครั้นชนะศึกมีความชอบ สมเด็จพระไชยราชาธิราชจึงพระราชทานอนุญาตให้พวกโปรตุเกสเข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่ในพระราชอาณาจักร และทำวัดวาตามลัทธิศาสนาของตนได้ดังปรารถนา”
ขณะที่พิทยะ ศรีวัฒนสาร ในวิทยานิพนธ์เรื่อง “ชุมชนโปรตุเกสในสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2059-2310(ค.ศ.1516-1767)” เสนอว่า ชุมชนโปรตุเกสเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างน้อยในปีพ.ศ.2059(ค.ศ.1516) โดยยึดหลักฐานในสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างกรุงศรีอยุธยากับโปรตุเกสพ.ศ.2059(ค.ศ.1516) ซึ่งระบุถึงการอนุญาตให้ชาวโปรตุเกสสามารถเดินทางเข้ามาค้าขาย ตั้งบ้านเรือนและปฏิบัติศาสนกิจในกรุงศรีอยุธยา แลกเปลี่ยนกับการที่ทางการโปรตุเกสดำเนินการจัดหาปืนและกระสุนดินดำแก่กรุงศรีอยุธยา และอนุญาตให้ชาวสยามเดินทางไปค้าขายที่มะละกา ในที่นี้จึงถือว่า พ.ศ.2059(ค.ศ.1516)เป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกของชุมชนโปรตุเกสในเมืองพระนครศรีอยุธยา
จากหลักฐานแผนที่ซึ่งเขียนโดยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาหลายฉบับ อาทิ แผนที่อยุธยาของบาทหลวงคูร์โตแลง(Père Courtaulin)ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แสดงให้เห็นว่าค่ายโปรตุเกสในอดีตมีพื้นที่คล้ายรูปสามเหลี่ยม แต่การสำรวจเพื่อทำแผนผังประกอบการขุดแต่งโบราณสถานโบสถ์ซานเปโตรในปีพ.ศ.2527(ค.ศ.1983) แสดงลักษณะทางกายภาพของหมู่บ้านโปรตุเกสคล้ายรูปฝักมะขามตามสภาพการตั้งชุมชนปัจจุบันที่ขนานไปตามริมน้ำ และคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ โดยมีขนาดกว้างประมาณ 170 เมตร ยาวประมาณ 2000 เมตร และมีขอบเขตพื้นที่ดังนี้
ทิศเหนือ : จรดวัดใหม่บางกระจะ
ทิศตะวันออก : จรดแม่น้ำเจ้าพระยา มีอนุสรณ์สถานหมู่บ้านญี่ปุ่นตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ทิศใต้ : จรดบ้านสะพานขาวอันเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวไทยมุสลิม
ทิศตะวันตก : เคยมีสภาพเป็นท้องนามีคูน้ำคั่น ปัจจุบันมีสุเหร่า สนามฟุตบอลและชุมชนมุสลิมขยายตัวหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆริมถนนสายวัดไก่เตี้ย-สะพานขาว
“แผนที่แสดงชุมชนหลากหลายเชื้อชาติที่กรุงศรีอยุธยา ค.ศ.1688(พ.ศ.2231)” ซึ่งตีพิมพ์ในจดหมายเหตุของมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ทำให้แลเห็นชัดเจนว่า ในสมัยอยุธยาชุมชนโปรตุเกสตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนนานาชาติ ได้แก่ ชุมชนจีน(ซึ่งมีทั้งในเกาะเมืองและนอกเกาะเมือง) ชุมชนโคชินจีน(เวียดนาม) ชุมชนมาเลย์ ชุมชนมากัสซาร์และชุมชนพะโค ส่วนทางฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาประกอบด้วยชุมชนอังกฤษ ชุมชนฮอลันดา ชุมชนญี่ปุ่นและชุมชนจีนไล่ลงมาตามลำดับ ซึ่งรวมถึงชุมชนชาวสยามซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ในเมืองพระนครศรีอยุธยา
จดหมายเหตุของมองซิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ (M. de La Loubère) เรียกชุมชนโปรตุเกสว่า “ค่ายโปรตุเกส-Camp of Portuguese” ซึ่งตรงกับภาษามาเลย์ว่า “Campong” และธีรวัติ ณ ป้อมเพชรใช้ว่า“Campo” แปลว่า “บ้าน” หรือ “หมู่บ้าน” ในภาษาสยาม ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าคำดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับคำว่า “Camp- ค่าย” และในคำประกาศเกียรติคุณของชาวโปรตุเกสที่ร่วมศึกพระยาตากข้บไล่ทหารพม่าออกจากสยามเมื่อพ.ศ.2310(ค.ศ.1767) เรียกที่ตั้งของชุมชนโปรตุเกสที่กรุงธนบุรีว่า “ Bandel หรือ Bamdel dos Portuguezes” แปลว่า “บ้านของชาวโปรตุเกส” อันอาจสะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมก่อนหน้านั้นได้เช่นกัน
ผู้ปกครองชาวโปรตุเกสในเมืองพระนครศรีอยุธยามีตำแหน่งเป็นกะปิเตา-มูร์(Capitao-mur) ซึ่งในเอกสารฝ่ายสยามเรียกว่า นายอำเภอโปรตุเกส อันเป็นฐานะเช่นเดียวกับนายอำเภอจีนหรือนายอำเภอญี่ปุ่นหรือนายอำเภออังกฤษ สังฆราชปัลเลอร์กัวอธิบายว่า "เป็นตำแหน่งฝ่ายนครบาล ควบคุมราษฎรชั่วเขตหมู่บ้านหนึ่ง"(ปชพ.ล.๑๓น.๑๗๗) และเป็นตำแหน่งหัวหน้าคนต่างชาติในสยามด้วย โดยนายอำเภอจะทำหน้าที่คล้ายกงศุลดูแลผลประโยชน์ของชนชาติตน(ปชพ.ล.๑๓น.๑๘๑) ศิลปะนันบัน(Nan Ban Art) หรือ ศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากคนเถื่อนแห่งแดนใต้, 1549-1614)ของญี่ปุ่นแสดงการเดินทางอย่างโอ่อ่าของกะปิเตา-มูร์โปรตุเกสผ่านย่านเศรษฐกิจในเมือง
แผนที่ของกูร์โตแลงระบุข้อความว่า "quartier des Portugais" แปลว่า "อำเภอโปรตุเกส" อย่างชัดเจน เป็นการยืนยันผ่านเอกสารแผนที่ฉบับนี้ว่า ทางการสยามยอมรับว่า ค่ายโปรตุเกสมีฐานะเป็นอำเภอ(ภาพจากสบายดอทคอม ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง)
หมู่บ้านโปรตุเกสหรือค่ายโปรตุเกส อันเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวโปรตุเกสและคนเชื้อสายโปรตุเกสในสมัยอยุธยา มีชื่อเรียกในพระราชพงศาวดารว่า “บ้านดิน”[1] ตั้งอยู่ที่ประมาณพิกัด 47 P.P.R. 844698 หรือประมาณละติจูดที่ 14 องศา 19 ลิบดา 38 พิลิบดาเหนือ ลองติจูดที่ 100 องศา 34 ลิบดา 30 พิลิบดาตะวันออก[2] ที่ตั้งปัจจุบันมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มทางตอนใต้นอกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ทิศตะวันออกฝั่งด้านตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่ตั้งของค่ายญี่ปุ่นหรืออนุสรณ์สถานหมู่บ้านญี่ปุ่น ทิศเหนือจรดกับวัดใหม่บางกระจะมีคูน้ำตัดจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปเชื่อมกับคูน้ำทางทิศตะวันตก ทิศใต้เป็นที่ตั้งของชุมชนมุสลิมบ้านสะพานขาว มีคูน้ำคั่นแบ่งเขตชุมชน
หลักฐานของลาลูแบร์ และแกมเฟอร์ ระบุตรงกันว่า ชาวโปรตุเกสหรือชาวต่างชาติอื่นๆ เรียกหมู่บ้านของตนว่า “ค่าย” หรือ “Camp” ในภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส ตรงกับภาษาโปรตุเกสว่า “Campo” บาทหลวงมานูเอล ไตไซรา เรียกชุมชนโปรตุเกสว่า "Campo Português(ค่ายโปรตุเกส)" หรือซึ่งตรงกับความหมายในภาษามะลายูว่า "Bandel Português" คำว่า "bandel" มาจาก "bandar" ในภาษามะลายู แปลว่า "porto - ท่าเรือ , อ่าว" หรือ ซึ่งตรงกับคำว่า"cais - ท่าเทียบเรือ , สะพานหินเทียบเรือ" ในภาษาโปรตุเกส บาทหลวงไตไซราระบุว่า ในมะละกายังมีสถานที่ชื่อ บันดา ฮิลีร์ (Banda Hilir) ปรากฏอยู่ เป็นหลักฐานยืนยันที่มาของคำว่า "Banda" ในภาษามะลายู
อ้างอิง : พิทยะ ศรีวัฒนสาร
http://siamportuguesestudy.blogspot.com/2010/06/blog-post_8516.html


แผนที่ของกูร์โตแลง(Jean De Courtaulin De Maguellon,1686) 
 แผนที่ของกูร์โตแลงระบุข้อความว่า "quartier des Portugais" แปลว่า "อำเภอโปรตุเกส" อย่างชัดเจน เป็นการยืนยันผ่านเอกสารแผนที่ฉบับนี้ว่า ทางการสยามยอมรับว่า ค่ายโปรตุเกสมีฐานะเป็นอำเภ


     แผนที่แสดงชุมชนหลากหลายเชื้อชาติที่กรุงศรีอยุธยาค.ศ.1688(พ.ศ.2231) ของลาลูแบร์

หอพระสุราลัยพิมาน

หอพระสุราลัยพิมาน
หอพระสุราลัยพิมาน เดิมเรียกว่า "หอพระเจ้า" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างคู่กันกับหอพระธาตุมณเฑียร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นหอเล็กๆ ชั้นเดียวยกพื้นสูง ๓.๐๐ เมตร กว้าง ๖.๐๐ เมตร ยาว ๑๑.๐๐ เมตร สร้างทอดจากทิศเหนือไปใต้มีมุขกระสันต่อเนื่องระหว่างองค์พระที่นั่งกับหอ
ประดิษฐานปูชนียวัตถุ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ พระมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตองค์น้อย พระชัยเนาวโลหะ พระชัยวัฒนประจำรัชกาล พระพุทธปฏิมากรห้ามสมุทร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑, ๒, ๓ และ ๔ และพระพุทธรูปสำคัญอื่นๆ
ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมอาคารทรงไทยขนาดเล็ก ชั้นเดียว ยกพื้นสูงสามเมตร ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทอดยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้ มีพระทวารทางเข้าแห่งเดียว หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเคลือบสี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ประดับกระจกสีทอง หน้าบันจำหลักไม้ลายกระหนก เครือวัลย์ลงรักปิดทอง ลายพุดตาลใบเทศ ซุ้มพระทวาร และพระบัญชรเป็นซุ้มทรงอย่างเทศ ปั้นปูนลายดอกไม้ ลงรักปิดทอง พื้นปูด้วยเสื่อหวายเนื้อละเอียดแบบจีน ตรงกลางปูทับด้วยพรมแดง พระทวารพระบัญชร มีเรือนแก้วเป็นลายดอกเบญจมาศ หน้าบานเขียนลายทองเป็นภาพเขาไกรลาศ บนพื้นสีแดง ผนังภายในเขียนลายเครือใบเทศ เชิงผนังเขียนลายกรวยเชิง ภายในหอพระด้านเหนือ ตั้งพระแท่นบูชาทำด้วยไม้จำหลักลายประดับกระจก ประดิษฐานปูชนียวัตถุต่างๆ และมีแท่นจำหลักลายปิดทองตั้งเขาก่อ เป็นรูปเขาไกรลาส ภายใต้แท่น ตั้งนาฬิกาแบบโบราณ
ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญ พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย(พระพุทธรูปแก้วผลึกเพชรน้ำค้าง) จากนครจำปาศักดิ์เข้ายังพระมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๕ นั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญไปประดิษฐานไว้ในหอพระสุราลัยพิมานนี้ และเสด็จฯ ไปทรงสักการบูชาวันละสองเวลาเข้าเย็นมิได้ขาด
พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายใน
๑. พระแก้วเชียงแสน เป็นพระแก้วประจำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔
๒. พระนาคสวาดิเรือนแก้ว เป็นพระแก้วประจำพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
๓. พระนิรันตราย
๔. พระพุทธบุษยรัตนน้อย เป็นพระแก้วประจำพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
๕. พระพุทธเพชรญาณ
๖. พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร เป็นพระแก้วประจำพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
๗. พระเสกรวงข้าว
อ้างอิง :
นิทรรศการพลังแผ่นดินอัศจรรย์งานศิลป์ แผ่นดินสยาม
https://www.facebook.com/Signnagas/?ref=br_rs


วัดพระศรีสรรเพชญ์

วัดพระศรีสรรเพชญ์

เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล สภาพเดิม

เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล สภาพเดิม สมัยที่ยังรกร้าง ปรักหักพัง ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม

วัดพระศรีสรรเพชญ์ สภาพดั้งเดิมก่อนการบูรณะ

วัดพระศรีสรรเพชญ์ สภาพดั้งเดิมก่อนการบูรณะ

 



 











ภาพพิมพ์ประวัติศาสตร์ สมเด็จพระนารายณ์เสด็จออกรับราชทูตฝรั่งเศส

ภาพพิมพ์ประวัติศาสตร์ สมเด็จพระนารายณ์เสด็จออกรับราชทูตฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในภาพพิมพ์สมัยกรุงศรีอยุธยาที่ล้ำค่าที่สุด ผมพบภาพนี้ในร้านจำหน่ายภาพพิมพ์โบราณย่านโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เป็นผลงานของฌ็อง-บัปติสต์ โนแลง (Jean-Baptiste Nolin) พิมพ์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในราวปี พ.ศ. ๒๒๓๐ (ขนาดของภาพ ๒๐๓ x ๒๖๔ มม.)
ในภาพ ราชทูตเชอวาลิเอร์ เดอ โชมงต์ (Chevalier de Chaumont) เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แด่สมเด็จพระนารายณ์ ณ พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท พระบรมมหาราชวังในกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๒๒๘
เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ทางราชสำนักอยุธยาได้ผ่อนปรนโบราณราชประเพณีทางการทูตบางประการ เช่นให้คณะราชทูตได้เข้าเฝ้าโดยไม่ต้องหมอบคลาน และอนุญาตให้ถวายพระราชสาส์นต่อพระหัตถ์โดยตรง ในภาพ จะเห็นอุปทูตเดอ ชัวซี (Abbe de Choisy) ยืนเคียงข้างราชทูต ถัดมาที่เห็นใกล้สุดคือมงแซนเญอร์ลาโน สังฆราชแห่งเมเตลโปลิส (Monseigneur Laneau) ออกญาวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) ที่หมอบคลานเข่าอยู่หน้าสีหบัญชร พยายามส่งสัญญาณให้ราชทูตทูนพานพระราชสาส์นให้ถึงพระหัตถ์ของสมเด็จพระนารายณ์

https://www.facebook.com/thavatchai.tangsirivanich


ไขปริศนาภาพ "ยูเดีย"

ไขปริศนาภาพ "ยูเดีย" ภาพกรุงศรีอยุธยาที่เก่าแก่และงดงามสุด
ฮันนีมูนทริปนี้ ผมขอภรรยาไปอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อแวะดูภาพๆ หนึ่ง ภาพที่มีความหมายสำหรับผม และคนไทยทุกคน
ผมน่าจะเป็นคนไทยคนแรกๆ ที่เปิดเผยว่าภาพนี้ใครวาด วาดเมื่อไหร่ เคยแขวนที่ไหน และอยู่รอดมาได้อย่างไร
ไม่อยากเชื่อว่าภาพกรุงศรีฯ เก่าแก่และงดงามสุด เกือบถูกทำลายในสมัยรัชกาลที่ ๕ ภาพยูเดียหรือกรุงศรีอยุธยาเป็นภาพมุมกว้าง (๙๗ x ๑๔๐ ซม.) วาดในขณะที่สิ่งปลูกสร้างและสถานที่สำคัญต่างๆ ยังอยู่ครบสมบูรณ์ ทำให้เราสามารถจินตนาการสภาพภูมิทัศน์ รูปลักษณ์ของกรุงศรีอยุธยา ว่าเป็นเกาะเมืองห้อมล้อมด้วยแม่น้ำหลายสาย ตัวเมืองมีกำแพงอิฐล้อมรอบ ป้อมปืนและประตูเมืองเรียงรายเป็นระยะๆ พื้นที่พระนครแบ่งออกเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย จัดเป็นระเบียบสวยงาม อีกทั้งถนนและคูคลองล้วนเชื่อมโยงต่อกันดุจตาข่าย จนราชธานีได้รับสมญานามว่า "เวนิสตะวันออก"
ภาพวาดสีน้ำมัน "ยูเดีย" เป็นงานวิจิตรศิลป์ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งของกรุงศรีอยุธยา สังเกตได้จากความวิจิตรโอฬารของพระราชวังหลวง อาคารบ้านเรือนและศาสนสถาน ถนนที่ปูด้วยอิฐ สะพานที่ก่อด้วยไม้หรือศิลาแลง ล้วนแลดูตระการตา ภาพนี้จึงเป็นผังเมืองกรุงศรีอยุธยาที่น่าทึ่งที่สุด
เอกสารไทยล้วนระบุว่า ภาพนี้วาดโดยจิตรกรนิรนามชาวฮอลันดาในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ตรงกับสมัยพระเจ้าปราสาททอง ข้อเท็จจริงคือภาพนี้เป็นผลงานของโยฮันเนส วิงโบนส์ (Johannes Vingboons) จิตรกรและนักเขียนแผนที่ชาวฮอลันดา วาดราว พ.ศ. ๒๒๐๕-๐๖ ต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (VOC) ได้ว่าจ้างให้จิตรกรวาดภาพเมืองท่าสำคัญในเอเชียตะวันออกจำนวน ๑๐ ภาพ ซึ่งกรุงศรีอยุธยาคือหนึ่งในนั้น ภาพชุดนี้เคยแขวนประดับบนผนังห้องประชุม Heren XVII (สุภาพบุรุษทั้ง ๑๗) หรือคณะผู้บริหารของบริษัทในกรุงอัมสเตอร์ดัม ฮอลันดา ภายหลังที่บริษัทยุติบทบาท ภาพเหล่านี้ได้ถูกนำไป "เก็บรักษา" ที่กระทรวงอาณานิคม กรุงเฮก
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ (ปลายรัชกาลที่ ๓) ข้าราชการนิรนามท่านหนึ่งได้เขียนบันทึกว่าภาพจำนวน ๓ ภาพได้ถูกทำลาย และในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ (ต้นรัชกาลที่ ๕) ข้าราชการอีกท่านนาม V. de Stuers รายงานว่าภาพที่หลงเหลืออีก ๗ ภาพ (รวมถึงภาพ "ยูเดีย") ถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างกองดินเตรียมทำเป็นปุ๋ย หากปล่อยไว้ อีกไม่นาน มรดกวัฒนธรรมของฮอลันดา(และสากล) อาจสูญหายไปอย่างถาวร
รายงานชิ้นนี้ทำให้ทางการตื่นตระหนก ขนย้ายภาพ "ยูเดีย" และภาพเมืองท่าสำคัญอื่นๆ ที่วาดโดยวิงโบนส์ อาทิ Canton (กวางตุ้ง), Lawec (ละแวก), Couchyn (โคชิน) ฯลฯ ไปเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์ไรคส์มิวเซียม (Rijksmuseum) อัมสเตอร์ดัม
ใครแวะไปอัมสเตอร์ดัม นอกจากจะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Van Gogh, บ้าน Anne Frank ผมอยากเชิญชวนให้แวะไปพิพิธภัณฑ์ไรคส์ (เดินจากพิพิธภัณฑ์ Van Gogh ราว ๕-๑๐ นาที) บอกลายแทงให้เลย ห้อง ๒.๙ ครับ
เขียนเสียยาว อยากบอกเล่าความเป็นมาของภาพกรุงเก่า อยากให้เราได้เข้าใจและภูมิใจในแผ่นดินครับ

https://www.facebook.com/thavatchai.tangsirivanich



กำเนิดชุมชนโปรตุเกสและวิถีชีวิตท่ามกลางชุมชนนานาชาติ

กำเนิดชุมชนโปรตุเกสและวิถีชีวิตท่ามกลางชุมชนนานาชาติ ชุมชนโปรตุเกสก่อตัวขึ้นในปีพ.ศ.2083(ค.ศ.1540) กล่าวคือ “ในแผ่นดินสมเด็จพระไชยราชาธิ...