หอพระสุราลัยพิมาน

หอพระสุราลัยพิมาน
หอพระสุราลัยพิมาน เดิมเรียกว่า "หอพระเจ้า" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างคู่กันกับหอพระธาตุมณเฑียร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นหอเล็กๆ ชั้นเดียวยกพื้นสูง ๓.๐๐ เมตร กว้าง ๖.๐๐ เมตร ยาว ๑๑.๐๐ เมตร สร้างทอดจากทิศเหนือไปใต้มีมุขกระสันต่อเนื่องระหว่างองค์พระที่นั่งกับหอ
ประดิษฐานปูชนียวัตถุ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ พระมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตองค์น้อย พระชัยเนาวโลหะ พระชัยวัฒนประจำรัชกาล พระพุทธปฏิมากรห้ามสมุทร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑, ๒, ๓ และ ๔ และพระพุทธรูปสำคัญอื่นๆ
ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมอาคารทรงไทยขนาดเล็ก ชั้นเดียว ยกพื้นสูงสามเมตร ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทอดยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้ มีพระทวารทางเข้าแห่งเดียว หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเคลือบสี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ประดับกระจกสีทอง หน้าบันจำหลักไม้ลายกระหนก เครือวัลย์ลงรักปิดทอง ลายพุดตาลใบเทศ ซุ้มพระทวาร และพระบัญชรเป็นซุ้มทรงอย่างเทศ ปั้นปูนลายดอกไม้ ลงรักปิดทอง พื้นปูด้วยเสื่อหวายเนื้อละเอียดแบบจีน ตรงกลางปูทับด้วยพรมแดง พระทวารพระบัญชร มีเรือนแก้วเป็นลายดอกเบญจมาศ หน้าบานเขียนลายทองเป็นภาพเขาไกรลาศ บนพื้นสีแดง ผนังภายในเขียนลายเครือใบเทศ เชิงผนังเขียนลายกรวยเชิง ภายในหอพระด้านเหนือ ตั้งพระแท่นบูชาทำด้วยไม้จำหลักลายประดับกระจก ประดิษฐานปูชนียวัตถุต่างๆ และมีแท่นจำหลักลายปิดทองตั้งเขาก่อ เป็นรูปเขาไกรลาส ภายใต้แท่น ตั้งนาฬิกาแบบโบราณ
ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญ พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย(พระพุทธรูปแก้วผลึกเพชรน้ำค้าง) จากนครจำปาศักดิ์เข้ายังพระมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๕ นั้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญไปประดิษฐานไว้ในหอพระสุราลัยพิมานนี้ และเสด็จฯ ไปทรงสักการบูชาวันละสองเวลาเข้าเย็นมิได้ขาด
พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายใน
๑. พระแก้วเชียงแสน เป็นพระแก้วประจำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔
๒. พระนาคสวาดิเรือนแก้ว เป็นพระแก้วประจำพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
๓. พระนิรันตราย
๔. พระพุทธบุษยรัตนน้อย เป็นพระแก้วประจำพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
๕. พระพุทธเพชรญาณ
๖. พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร เป็นพระแก้วประจำพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
๗. พระเสกรวงข้าว
อ้างอิง :
นิทรรศการพลังแผ่นดินอัศจรรย์งานศิลป์ แผ่นดินสยาม
https://www.facebook.com/Signnagas/?ref=br_rs


วัดพระศรีสรรเพชญ์

วัดพระศรีสรรเพชญ์

เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล สภาพเดิม

เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล สภาพเดิม สมัยที่ยังรกร้าง ปรักหักพัง ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม

วัดพระศรีสรรเพชญ์ สภาพดั้งเดิมก่อนการบูรณะ

วัดพระศรีสรรเพชญ์ สภาพดั้งเดิมก่อนการบูรณะ

 



 











ภาพพิมพ์ประวัติศาสตร์ สมเด็จพระนารายณ์เสด็จออกรับราชทูตฝรั่งเศส

ภาพพิมพ์ประวัติศาสตร์ สมเด็จพระนารายณ์เสด็จออกรับราชทูตฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในภาพพิมพ์สมัยกรุงศรีอยุธยาที่ล้ำค่าที่สุด ผมพบภาพนี้ในร้านจำหน่ายภาพพิมพ์โบราณย่านโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เป็นผลงานของฌ็อง-บัปติสต์ โนแลง (Jean-Baptiste Nolin) พิมพ์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในราวปี พ.ศ. ๒๒๓๐ (ขนาดของภาพ ๒๐๓ x ๒๖๔ มม.)
ในภาพ ราชทูตเชอวาลิเอร์ เดอ โชมงต์ (Chevalier de Chaumont) เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แด่สมเด็จพระนารายณ์ ณ พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท พระบรมมหาราชวังในกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๒๒๘
เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ทางราชสำนักอยุธยาได้ผ่อนปรนโบราณราชประเพณีทางการทูตบางประการ เช่นให้คณะราชทูตได้เข้าเฝ้าโดยไม่ต้องหมอบคลาน และอนุญาตให้ถวายพระราชสาส์นต่อพระหัตถ์โดยตรง ในภาพ จะเห็นอุปทูตเดอ ชัวซี (Abbe de Choisy) ยืนเคียงข้างราชทูต ถัดมาที่เห็นใกล้สุดคือมงแซนเญอร์ลาโน สังฆราชแห่งเมเตลโปลิส (Monseigneur Laneau) ออกญาวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) ที่หมอบคลานเข่าอยู่หน้าสีหบัญชร พยายามส่งสัญญาณให้ราชทูตทูนพานพระราชสาส์นให้ถึงพระหัตถ์ของสมเด็จพระนารายณ์

https://www.facebook.com/thavatchai.tangsirivanich


ไขปริศนาภาพ "ยูเดีย"

ไขปริศนาภาพ "ยูเดีย" ภาพกรุงศรีอยุธยาที่เก่าแก่และงดงามสุด
ฮันนีมูนทริปนี้ ผมขอภรรยาไปอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อแวะดูภาพๆ หนึ่ง ภาพที่มีความหมายสำหรับผม และคนไทยทุกคน
ผมน่าจะเป็นคนไทยคนแรกๆ ที่เปิดเผยว่าภาพนี้ใครวาด วาดเมื่อไหร่ เคยแขวนที่ไหน และอยู่รอดมาได้อย่างไร
ไม่อยากเชื่อว่าภาพกรุงศรีฯ เก่าแก่และงดงามสุด เกือบถูกทำลายในสมัยรัชกาลที่ ๕ ภาพยูเดียหรือกรุงศรีอยุธยาเป็นภาพมุมกว้าง (๙๗ x ๑๔๐ ซม.) วาดในขณะที่สิ่งปลูกสร้างและสถานที่สำคัญต่างๆ ยังอยู่ครบสมบูรณ์ ทำให้เราสามารถจินตนาการสภาพภูมิทัศน์ รูปลักษณ์ของกรุงศรีอยุธยา ว่าเป็นเกาะเมืองห้อมล้อมด้วยแม่น้ำหลายสาย ตัวเมืองมีกำแพงอิฐล้อมรอบ ป้อมปืนและประตูเมืองเรียงรายเป็นระยะๆ พื้นที่พระนครแบ่งออกเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย จัดเป็นระเบียบสวยงาม อีกทั้งถนนและคูคลองล้วนเชื่อมโยงต่อกันดุจตาข่าย จนราชธานีได้รับสมญานามว่า "เวนิสตะวันออก"
ภาพวาดสีน้ำมัน "ยูเดีย" เป็นงานวิจิตรศิลป์ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งของกรุงศรีอยุธยา สังเกตได้จากความวิจิตรโอฬารของพระราชวังหลวง อาคารบ้านเรือนและศาสนสถาน ถนนที่ปูด้วยอิฐ สะพานที่ก่อด้วยไม้หรือศิลาแลง ล้วนแลดูตระการตา ภาพนี้จึงเป็นผังเมืองกรุงศรีอยุธยาที่น่าทึ่งที่สุด
เอกสารไทยล้วนระบุว่า ภาพนี้วาดโดยจิตรกรนิรนามชาวฮอลันดาในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ตรงกับสมัยพระเจ้าปราสาททอง ข้อเท็จจริงคือภาพนี้เป็นผลงานของโยฮันเนส วิงโบนส์ (Johannes Vingboons) จิตรกรและนักเขียนแผนที่ชาวฮอลันดา วาดราว พ.ศ. ๒๒๐๕-๐๖ ต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์ บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (VOC) ได้ว่าจ้างให้จิตรกรวาดภาพเมืองท่าสำคัญในเอเชียตะวันออกจำนวน ๑๐ ภาพ ซึ่งกรุงศรีอยุธยาคือหนึ่งในนั้น ภาพชุดนี้เคยแขวนประดับบนผนังห้องประชุม Heren XVII (สุภาพบุรุษทั้ง ๑๗) หรือคณะผู้บริหารของบริษัทในกรุงอัมสเตอร์ดัม ฮอลันดา ภายหลังที่บริษัทยุติบทบาท ภาพเหล่านี้ได้ถูกนำไป "เก็บรักษา" ที่กระทรวงอาณานิคม กรุงเฮก
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ (ปลายรัชกาลที่ ๓) ข้าราชการนิรนามท่านหนึ่งได้เขียนบันทึกว่าภาพจำนวน ๓ ภาพได้ถูกทำลาย และในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ (ต้นรัชกาลที่ ๕) ข้าราชการอีกท่านนาม V. de Stuers รายงานว่าภาพที่หลงเหลืออีก ๗ ภาพ (รวมถึงภาพ "ยูเดีย") ถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างกองดินเตรียมทำเป็นปุ๋ย หากปล่อยไว้ อีกไม่นาน มรดกวัฒนธรรมของฮอลันดา(และสากล) อาจสูญหายไปอย่างถาวร
รายงานชิ้นนี้ทำให้ทางการตื่นตระหนก ขนย้ายภาพ "ยูเดีย" และภาพเมืองท่าสำคัญอื่นๆ ที่วาดโดยวิงโบนส์ อาทิ Canton (กวางตุ้ง), Lawec (ละแวก), Couchyn (โคชิน) ฯลฯ ไปเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์ไรคส์มิวเซียม (Rijksmuseum) อัมสเตอร์ดัม
ใครแวะไปอัมสเตอร์ดัม นอกจากจะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Van Gogh, บ้าน Anne Frank ผมอยากเชิญชวนให้แวะไปพิพิธภัณฑ์ไรคส์ (เดินจากพิพิธภัณฑ์ Van Gogh ราว ๕-๑๐ นาที) บอกลายแทงให้เลย ห้อง ๒.๙ ครับ
เขียนเสียยาว อยากบอกเล่าความเป็นมาของภาพกรุงเก่า อยากให้เราได้เข้าใจและภูมิใจในแผ่นดินครับ

https://www.facebook.com/thavatchai.tangsirivanich



แผนที่กรุงศรีอยุทธยา : แผนที่โดย Vincenzo Coronelli

แผนที่กรุงศรีอยุทธยา : แผนที่โดย Vincenzo Coronelli ราวปี ค.ศ. 1696 (พ.ศ.2239) แปดปีหลังพระนารายณ์สวรรคต อาศัยต้นแบบจากแผนที่ของชาวฝรั่งเศสที่ทำขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อนหน้า
ข้อมูล : Thavatchai Tangsirivanich
https://en.wikipedia.org/wiki/Vincenzo_Coronelli

กำแพงพระนคร รถเจ๊ก รถราง และถนนมหาไชย

กำแพงพระนคร รถเจ๊ก รถราง และถนนมหาไชย

พระนางเธอลักษมีลาวัณ

พระนางเธอลักษมีลาวัณ
มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวรรณพิมล วรวรรณ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมหลวงตาด วรวรรณ (สกุลเดิม มนตรีกุล) ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะพระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการสถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2464 ขณะพระชันษาได้ 22 ปี และในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2464 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ พร้อมกับทรงหมั้น และมีพระราชวินิจฉัยว่า จะได้ทรงทำการราชาภิเษกสมรส ในภายหน้า ดังพระบรมราชโองการว่า
"ศุภมัสดุ พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ ปัจจุบันกาล สุริยคตินิยม กันยายนมาศ อัฏฐมาสาหคุณพิเศษ บริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ ฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำริว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นที่พอพระราชหฤทัย ดังมีความแจ่มแจ้งอยู่ในประกาศพบรมราชโองการ ลงวันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ นั้นแล้ว บัดนี้ได้ทรงพระราชวินิจฉัยว่า จะได้ทรงทำการราชาภิเษกสมรส ณ เบื้องหน้า จึงเป็นการสมควรยกย่องพระเกียรติยศให้ยิ่งขึ้น จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้สถาปนา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านั้น มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ จงทรงเจริญพระชนมายุ พรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสมบัติ สรรพสิริสวัสดิพิพัฒนมงคลทุกประการ เทอญ "
หลังจากการเฉลิมพระยศได้เพียงหนึ่งเดือนสิบเก้าวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงอภิเษกสมรสกับ พระสุจริตสุดา ธิดาของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2464 และทรงตัดสินพระราชหฤทัย "แยกกันอยู่" กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณซึ่งยังมิได้อภิเษกสมรสกัน ต่อมาพระองค์เจ้าลักษมีลาวัณก็ได้รับโปรดเกล้าสถาปนาขึ้นเป็น พระนางเธอลักษมีลาวัณ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2465 เสมือนรางวัลปลอบพระทัย
หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้รับส่วนแบ่งจากพระราชมรดก อาทิ เพชร, ทอง, สังวาล, กระโถนทอง และพานทอง พระนางเธอลักษมีลาวัณก็ทรงพอพระทัยที่จะแยกพระตำหนักไปประทับอยู่ห่างจากเจ้าพี่เจ้าน้อง ที่พระตำหนักลักษมีวิลาศ ทรงประทับอยู่อย่างสันโดษ และเพื่อเลี่ยงความเงียบเหงาพระนางจึงทุ่มเทไปกับงานพระนิพนธ์ และการเขียนบทละครร้องและการรื้อฟื้นคณะละครปรีดาลัยของพระบิดา พระนางเธอลักษมีลาวัณทรงใช้เวลาว่างให้หมดไปกับการทรงพระอักษรและนิพนธ์ไว้หลายเรื่องโดยใช้นามปากกาว่า ปัทมะ และ วรรณพิมล
พระนางเธอลักษมีลาวัณ ถูกลอบปลงพระชนม์เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 สิริพระชนมายุ 62 พรรษา ซึ่งผู้ก่อคดีฆาตกรรมคืออดีตคนสวนที่พระองค์ไล่ออก และก่อคดีดังกล่าวด้วยประสงค์ในทรัพย์สินส่วนพระองค์


เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ 5

เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ 5 : นางร้องไห้คนสุดท้าย เจ้าของ "กำไลมาศ" และต้นตำรับ "ยาดมส้มโอมือ"
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ (6 มีนาคม พ.ศ. 2433 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2526) เป็นเจ้าจอมพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนสุดท้ายที่ได้ร้องเพลง นางร้องไห้ และเจ้าจอมคนสุดท้ายของราชวงศ์จักรีที่ยังดำรงชีพและถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่9
เมื่อท่านมีอายุได้ 20 ปี คราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ท่านมีความทุกข์ และเศร้าโศกอย่างยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า
"..ใจคิดจะเสียสละได้ทุกอย่าง จะอวัยวะหรือเลือดเนื้อ หรือชีวิตถ้าเสด็จกลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใจที่คิดแน่วแน่ว่าตายแทนได้ไม่ใช่แค่พูดเพราะๆ ...คุณจอมเชื้อเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า บอกว่าท่านได้ประทานไว้ซับพระบาท ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าที่ซับพระบาทนั้นแล้วพันมวยผมไว้ แล้วก็นั่งร้องไห้กันต่อไปอีก..."
ครั้งสุดท้ายที่เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณคือ การเป็นต้นเสียงนางร้องไห้หน้าพระบรมศพ
บทเพลง นางร้องไห้ มีอยู่ทั้งหมด 5 บท ดังนี้
1 พระร่มโพธิ์ทอง พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
2 พระเสด็จไปสู่สวรรค์ชั้นใด ละข้าพระบาทยุคลไว้ พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
3 พระยอดฟ้า พระสุเมรุทอง พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
4 พระเสด็จผ่านพิภพแห่งใด ข้าพระบาทจะตามเสด็จไป พระพุทธเจ้าข้าเอย
5 พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย
จนเมื่อเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับมีวัยชราแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ให้ท่านกลับเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ในช่วงเวลานี้นี่เอง ที่ท่านได้มีโอกาสทำคุณประโยชน์อีกครั้ง โดยการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้แก่ชนรุ่นหลัง เช่น
# วิธีถักตาชุนหรือ ถักสไบ ที่เรียกกันว่า กรองทอง
# วิธีทำน้ำอบ น้ำปรุง
# ยาดมส้มโอมือ ฯลฯ
ตลอดจนถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆในพระราชสำนักเมื่อครั้งกระนั้น ให้ชนรุ่นหลังได้ฟังและจดบันทึกไว้ นับเป็นประโยชน์มาก เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2526 สิริรวมอายุได้ 93 ปี

อ้างอิง :
http://www.chiangmaicitylife.com/citylife-articles/royal-cuisine-เหตุเกิดเพราะลงเรือ-ต/
https://th.wikipedia.org/wiki/เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ_ในรัชกาลที่_5


พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย : รัตนะปฏิมาแห่งพระที่นั่งอัมพรสถานฯ

พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย : รัตนะปฏิมาแห่งพระที่นั่งอัมพรสถานฯ
พระพุทธรูปองค์นี้ สันนิษฐานว่า คือ "พระแก้วขาว" ซึ่งปรากฏเรื่องราวในพงศาวดารโยนก ความว่า พระอรหันต์ได้แก้วขาวมาจากจันทรเทวบุตร จึงขอให้พระวิษณุกรรมแกะสลักเป็นพระพุทธรูป แล้วบรรจุพระบรมธาตุ 4 องค์ไว้ที่พระเมาลี พระนลาฏ พระอุระ และพระโอษฐ์ พระแก้วขาวนี้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้ จนกระทั่งพระนางจามเทวีอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ เมืองหริภุญไชย ในปี พ.ศ. 2011 พระเจ้าติโลกราชแห่งเมืองเชียงใหม่ ได้อัญเชิญจากเมืองหริภุญไชยไปเมืองเชียงใหม่ ประดิษฐานคู่กับพระแก้วมรกตเป็นเวลา 84 ปี
จากนั้นในปี พ.ศ. 2093 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงอัญเชิญพระแก้วขาว และพระแก้วมรกตจากเมืองเชียงใหม่ ไปประดิษฐานที่เมืองหลวงพระบาง และเมื่อย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางไปตั้งที่เวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2107 นั้น ไม่ปรากฏว่าได้อัญเชิญพระแก้วขาวไปพร้อมกับพระแก้วมรกตด้วย สันนิษฐานว่าคงเคลื่อนย้ายไปซ่อนไว้ ณ ถ้ำเขาส้มป่อย
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้ข้าหลวงไปปลงศพเจ้าพระวิไชยราชขัตติยวงศา (เจ้าหน้า - เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ลำดับที่ 3) ที่เมืองนครจำปาศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2354 ข้าหลวงได้เห็นพระแก้วผลึกสีขาว จึงมีใบบอกให้นำความกราบบังคมทูลถวายพระแก้วผลึก โดยตั้งขบวนแห่ตั้งแต่เมืองสระบุรี และมีการสมโภชตามหัวเมืองรายทางตลอดมาจนถึงกรุงเทพฯ เมื่อเสร็จงานสมโภชที่ กรุงเทพฯ แล้ว โปรดให้ประชุมช่างจัดหาเนื้อแก้วผลึกเหมือนองค์พระ เพื่อเจียระไนแก้วติดปลายพระกรรณขวาที่แตกชำรุดให้สมบูรณ์ และขัดชำระองค์พระให้เป็นเงางามเสมอกัน กับพระราชทานพระราชดำริ ให้ช่างปั้นฐานต่อองค์พระตามที่พอพระราชหฤทัย แล้วหล่อด้วยทองสำริดแต่งให้เกลี้ยงหุ้มด้วยทองคำ ส่วนยอดพระรัศมีรับสั่งให้ช่างแผ่ทองคำหุ้มส่วนพระเศียร ดุนเป็นเม็ดพระศกต้องตามแบบแผนของพระพุทธรูป ต่อกับพระรัศมีลงยาราชาวดีประดับเพชร ใจกลางหน้าหลังและกลีบต้นพระรัศมี แต่เมื่อถวายสวมเครื่องทองส่วนยอดพระรัศมีแล้ว สีพระพักตร์ไม่ผ่องใสเหมือนสีองค์พระ จึงแก้ไขด้วยการเอาเนื้อเงินไล่ขาวบริสุทธิ์แผ่หุ้มก่อนชั้นหนึ่ง ขัดเงินให้เกลี้ยงเป็นเงางามแล้วจึงสวมพระศกทองคำบนแผ่นเงิน ทำให้พระพักตร์ใสสะอาดขาวนวลเสมอกับพระองค์ แล้วรับสั่งให้ทำพระสุวรรณกรัณฑ์น้อย สอดในช่องบนพระจุฬาธาตุเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ และนำทองคำลงราชาวดีขาวดำผังแนบพระเนตรให้งดงาม ทำฉัตรทองคำ 5 ชั้น ชั้นต้นเท่าส่วนพระอังสาลงยาราชาวดีประดับพลอย มีใบโพธิ์แก้วห้อยเป็นเครื่องประดับ แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในหอพระเจ้า (หอพระสุราลัยพิมาน) ด้านตะวันออกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณ : (https://www.facebook.com/groups/1430536690609179/permalink/1957290804600429/)
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระเบญจาตั้งบุษบกสูง เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแล้ว ในการพระราชพิธีใหญ่ต่างๆ โปรดให้อัญเชิญพระแก้วผลึกสีขาวตั้งเป็นประธานในพิธีแทนพระแก้วมรกต
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2404 โปรดให้ช่างทำเครื่องประดับองค์พระและฐานพระพุทธรูปใหม่ พร้อมทั้งฉัตรกลางและซ้าย ขวา แล้วตั้งการฉลองสมโภชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ระหว่างวันที่ 15 – 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2404 และถวายพระนามพระแก้วผลึกนี้ว่า “พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย” กับทั้งโปรดให้สร้างพระวิหารศิลาในพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐาน พระราชทานชื่อว่า “พระพุทธรัตนสถาน”
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผนวชในปี พ.ศ. 2416 นั้น โปรดให้ผูกพัทธสีมาพระวิหารพระพุทธรัตนสถาน เป็นพระอุโบสถเพื่อทำสังฆกรรม หลังจากนั้นพระพุทธรัตนสถานก็เป็นสถานที่ทำพุทธบูชาของฝ่ายใน และเมื่อทรงสร้างพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตแล้ว โปรดให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ ไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้วจึงอัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ กลับไปประดิษฐาน ณ พระพุทธรัตนสถานตามเดิม
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ กลับไปประดิษฐาน ณ หอพระ พระที่นั่งอัมพรสถานสืบมาจนทุกวันนี้
ข้อมูล : วิกิพีเดีย
ภาพ : หนังสือพระพุทธปฏิมาในพระมหาราชวัง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

หมอล้วน ว่องวานิช กับห้างขายยาอังกฤษ(ตรางู)

หมอล้วน ว่องวานิช กับห้างขายยาอังกฤษ(ตรางู)
ในปี 2471 เป็นสมัยที่ 2 ของผู้บริหารห้างฯ เมื่อหมอล้วนได้ซื้อกิจการห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) จากแมคเบธและเป็นยุคแรกของตระกูลว่องวานิช ซึ่งในยุคนี้หมอล้วนได้ใช้ชั้นบนของห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) เปิดเป็นคลีนิคเพื่อรักษาคนไข้ส่วนชั้นล่างก็ได้จัดเป็นร้านขายยาและจำหน่ายสินค้าอื่น ๆ โดยเริ่มต้นการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเซนลุกซ์อาทิ สบู่ยาเซนลุกซ์ น้ำมันเซนลุกซ์และขี้ผึ้งเซนลุกซ์ ด้วยการสั่งเข้ามาจำน่ายจากประเทศอังกฤษ รวมไปถึงเมลลินฟู้ดส์ น้ำมันตับปลา ยาแก้ปวดเพอร์รีเดวิส นอกจากนี้ยังเป็นคลังจำหน่ายสินค้าชั้นดีของเบอร์โรห์ส และบริษัทผลิตยาเวลคัมแอนด์โค
นอกจากนี้ของหมอล้วน ยังได้ริเริ่มการผลิตสินค้าของตนเองเพิ่มเติมโดยสินค้าที่หมอล้วนคิดค้นพัฒนาได้คือแป้งน้ำโดยการปรับปรุงจากยามะโนลาที่ห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) ผลิตอยู่แล้วและต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นแป้งน้ำมโนราโดยการนำเอาแป้งมาละลายกับน้ำแล้วเติมกลินน้ำอบไทย และผสมเมนธอลแล้วนำไปบรรจุขวดเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นแป้งน้ำควินนาและแป้งเด็กเซนลุกซ์ก็เกิดในยุคนี้ด้วยเช่นกัน
ข้อมูล : http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=6708
ภาพ : Pinterest

พุทธคยา หรือพระมหาโพธิเจดีย์

พุทธคยา หรือพระมหาโพธิเจดีย์ สภาพก่อนการบูรณะ ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2417 ในคราวที่พระเจ้ามินดง กษัตริย์แห่งพม่า พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อบูรณะพระมหาเจดีย์ หลังถูกทิ้งร้างไปกว่าพันปี

คุณขนมต้ม อมาตยกุล

คุณขนมต้ม อมาตยกุล คุณข้าหลวงตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ สมัยยังสาว ภาพนี้ถ่ายขณะคุณขนมต้ม ท่านกำลังเย็บผ้า ที่โถงหน้าพระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวังดุสิต สมัยล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ประสาทศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2472

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ประสาทศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2472
https://th.wikipedia.org/wiki/ปราสาทศีขรภูมิ
ภาพทับหลังความละเอียดสูง :
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/1/1d/เสน่ห์ของปราสาทศีขรภูมิ.JPG
ภาพ : Pinterest

ภีษมะบนเตียงลูกศร ที่ปราสาทนครวัด

ภีษมะบนเตียงลูกศร ที่ปราสาทนครวัด
*เป็นภาพสลักเป็นของมหาภารตะ ตอน ภีษมะโดนศรของอรชุน ซึ่งภีษมะ เป็นพระโอรสของพระราชาศานตนุแห่งกรุงหัสตินาปุระ แคว้นกุรุ กับพระแม่คงคาเป็นบุคคลสำคัญในเรื่องมหากาพย์มหาภารตะ เพราะถือเป็นปู่คนหนึ่งของทั้งฝ่ายเการพและฝ่ายปาณฑพ ในสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตรนั้น ท้าวภีษมะต้องเข้าร่วมกับพวกเการพ และเป็นแม่ทัพให้กับทุรโยธน์ท้าวภีษมะไม่เต็มใจนักเพราะแต่ละฝ่ายต่างก็เป็นหลานของตน จึงเข้าร่วมกับฝ่ายเการพและบอกว่าจะไม่สังหารพี่น้องปาณฑพอย่างเด็ดขาด แต่ในที่สุดแล้ว ภีษมะก็ตายด้วยน้ำมือของอรชุนซึ่งเป็นหลาน และนอนรอความตายอยู่บนเตียงลูกศร โดยสอนวิธีการปกครองให้กับพวกปาณฑพก่อนที่ตนเองจะตั้งใจตาย เมื่อสอนหลาน ๆ ฝ่ายปาณฑพจบ ภีษมะก็ได้ตายจากไปและขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ดังเดิม
**ภาพสลักที่ผนังระเบียงคดชั้นที่ 2 ที่ปราสาทนครวัด จะมีการสลักภาพนูนต่ำเล่าเรื่องต่างๆ ไล่เรียงกันไป ที่ผนังทุกด้าน โดยทางทิศตะวันตกสลักเป็นภาพเล่าเรื่องมหาภารตะลักษณะของเครื่องแต่งกายบุคคลที่ปรากฏในภาพสลัก ดูจากบุคคลขนาดใหญ่ที่อยู่กลางภาพ นอนอยู่บนเตียงลูกศร ทรงกระบังหน้ายอดทรงกรวย ทรงกรองศอประดับพู่ห้อย พาหุรัด สังวาลไขว้กันเป็นรูปกากบาท ทรงผ้านุ่งสั้น มีชายผ้าสามเหลี่ยมชักออกมาด้านข้าง ซึ่งจากลักษณะดังกล่าวเป็นรูปแบบที่นิยมในศิลปะนครวัด








ภูเขาทอง หรือ บรมบรรพต

ภูเขาทอง หรือ บรมบรรพต
*สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เพื่อให้เป็นปูชนียสถานที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ คล้ายกับพระเจดีย์วัดภูเขาทองสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทรงดำริให้สร้างในลักษณะ “พระปรางค์ฐานย่อมุมไม้สิบสอง” ขนาดใหญ่ อยู่ทางทิศตะวันออกนอกกำแพงพระนคร โดยทรงเลือกบริเวณวัดสระเกศ ริมคลองมหานาคเป็นที่ก่อสร้าง และเรียกว่า “เจดีย์ภูเขาทอง”
**ระหว่างการก่อสร้าง องค์พระปรางค์เกิดการทรุดเนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างอยู่ใกล้ริมคลอง เป็นที่ลุ่ม ดินอ่อน ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ อิฐที่ก่อหุ้มข้างนอกก็แตกร้าวรอบไปทั้งองค์ แม้จะแก้ไขโดยฝังเสาแพกั้นฐานพระปรางค์ไม่ให้ดินถีบออกไป แต่ก็ยังทรุดลงอีก จึงยุติการก่อสร้างชั่วคราว และถูกปล่อยทิ้งไว้
***ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชดำริว่าของใหญ่ไม่ควรจะทิ้งไว้ให้เป็นกองอิฐ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมโดยเปลี่ยนแบบเป็นการก่อภูเขา บนยอดเขามีพระเจดีย์ทรงลังกา และเปลี่ยนชื่อจากภูเขาทองเป็น “บรมบรรพต” แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังคงเรียกติดปากว่า "ภูเขาทอง"






การซ่อมแซมปราสาทบันทายศรี

ภาพการซ่อมแซมปราสาทบันทายศรี (บันทายสรี บันเตียสเรย หรือบันเตียสไรย : Banteay Srei , Banteay Srey) เมื่อปี พ.ศ. 2477 โดยนายช่างโบราณคดีชาวฝรั่งเศส โดยเทคนิคการใช้รอก เพื่อเคลื่อนย้ายและวางหินในตำแหน่งที่ต้องการ
ปราสาทบันทายศรีเป็นปราสาทหินที่ถือได้ว่างดงามที่สุดในประเทศกัมพูชา ถือเป็น "เพชรเม็ดงาม" แห่งบรรดาปราสาทหินของอาณาจักรเขมรโบราณ มีความวิจิตรงดงาม กลมกลืนอย่างสมบูรณ์ และเป็นปราสาทแห่งเดียวที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 1000 ปี แต่ลวดลายก็ยังมีความคมชัด เหมือนกับสร้างเสร็จใหม่ ๆ
ปราสาทบันทายศรี ในภาษาเขมร หมายถึง ปราสาทสตรีหรือป้อมสตรี อยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมราฐไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร ใกล้กับแม่น้ำเสียมราฐในบริเวณที่เรียกว่า อิศวรปุระ หรือเมืองของพระอิศวร
อ้างอิง : http://thisancientlife.com

ภาพเอกสารดั้งเดิม บางส่วน ในคราว "เปิดกรุวัดราชบูรณะ"

ภาพเอกสารดั้งเดิม บางส่วน ในคราว "เปิดกรุวัดราชบูรณะ" จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๕๐๑
อ้างอิง :
จิตรกรรมและศิลปวัตถุในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ชื่อผู้แต่ง : กรมศิลปากร รวบรวมจัดพิมพ์ครั้งแรก จำนวน ๑๐๐๐ ฉบับ
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๐๑


 









กำเนิดชุมชนโปรตุเกสและวิถีชีวิตท่ามกลางชุมชนนานาชาติ

กำเนิดชุมชนโปรตุเกสและวิถีชีวิตท่ามกลางชุมชนนานาชาติ ชุมชนโปรตุเกสก่อตัวขึ้นในปีพ.ศ.2083(ค.ศ.1540) กล่าวคือ “ในแผ่นดินสมเด็จพระไชยราชาธิ...